วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

จะแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มลงแข่ง?


สองวันก่อน หลานชายมาปรึกษา "อาครับ ผมว่าจะซิ่วดีไหม คิดว่าคงเรียนไม่จบปี 2 ต้องโดนไทร์ก่อนแน่ๆ เลย ซิ่วแล้ว เอ็นใหม่ มาเรียนคณะเดิม แล้วโอนย้ายเกรดบางวิชาที่เคยเรียนมา จะได้ไม่ต้องลงทะเบียนเรียนใหม่" แต่พอถามว่า แล้วถ้าไทร์จริงแล้วซิ่ว พอจะขึ้นปี 2 อีก เจอวิชายากๆ หินๆ แบบนี้ จะทำยังไง ก็จะซิ่วอีก แล้วกลับไปเรียนปี 1 ใหม่ ซ้ำไปซ้ำไปมาแบบหรือ ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ได้ขึ้นปี 3 - 4 เสียที เขาตอบว่า ไม่เป็นไร

เด็กสมัยนี้ ช่างคิดอะไรกันตื้นๆ เคยได้ยินคนพูดกันว่า เด็กรุ่นใหม่ ไม่ต้องดิ้นรนอะไรมากมาย เพราะทุกอย่างมีเตรียมไว้ให้หมดแล้ว หลานชายของฉันคนนี้ก็เช่นกัน เขาถูกเลี้ยงมาอย่างสมบูรณ์แบบ แต่เป็นทางด้านวัตถุมากกว่า ส่วนเรื่องความอบอุ่นทางจิตใจที่จะได้รับจากครอบครัวนั้น ฉันขอเดาว่า เขาคงไม่ค่อยได้รับ ก็เปรียบเช่นที่ฉันกับแม่ ก็คงไม่แตกต่างจากหลานเท่าไหร่ อ้อ ก็ต่างกันหน่อยตรงที่ ทางวัตถุ ก็ไม่ค่อยได้เหมือนกัน ทางจิตใจ ยิ่งแล้วไปใหญ่

ตอนนี้หลานไม่มีพึ่ง ฉันจึงยินดีและเต็มใจที่จะช่วยหลาน ฉันเสียใจมากว่า งานพิเศษของฉันคือรับจ้างสอนพิเศษมาเป็นเวลากว่าสิบปีแล้ว ฉันเคยช่วยเด็กจากที่เคยได้เกรดต่ำๆ ให้เข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ได้เหลายคน หรือไม่ก็ช่วยทำให้เกรดเขาก็ดีขึ้น นั่นเป็นสิ่งหนึ่งที่ภูมิใจและรักงานพิเศษนี้ยิ่งนัก ถึงจะทำงานเหนื่อย ต้องดูแลแม่ที่ตอนนี้ก็ป่วย แต่ฉันก็เต็มใจที่จะปลีกเวลาว่างในช่วงวันหยุดมาสอนเด็กๆ สักสองสามคน เพราะฉันคิดว่า การได้ให้ความรู้กับคนที่ศรัทธาในตัวเรา ฉันรู้สึกว่าตัวเองมีค่า

แต่นี่ หลานฉันเอง เขาเรียนไม่ดีเอาเสียเลย ใช่ว่าสมองเขาจะไม่ดี แต่เป็นเพราะเขาไม่มีแรงบันดาลใจอะไรเลยในชีวิต เขาบอกว่าเขาไม่มีจุดหมาย ถึงเรียนตอนนี้ไม่จบ ก็ไม่เป็นไร เพราะเขาคิดว่าคงจบช้ากว่าเพื่อนอยู่แล้ว ปิดเทอมเขาไม่เคยทบทวนตำรา ไม่เคยแม้แต่จะหยิบหนังสือวิชาการสักเล่มขึ้นมาอ่าน วันๆ เขาเอาแต่นั่งแชทหน้าคอมพิวเตอร์ หรือไม่ก็สูบบุหรี่ นั่งเหม่อลอย ฉันสงสารหลาน เขาคิดอะไรของเขาอยู่นะ อยากรู้จังว่า เขาเจ็บปวดบ้างหรือเปล่า กับครอบครัวของเขา เพราะใคร ทำให้เขาเป็นแบบนี้

ฉันคะยั้นคะยอ ให้เขามาติวกับฉัน ฉันพยายามหาเวลาว่างที่แทบจะไม่มีเหลือ สละให้เขา เพื่อจะช่วยให้เทอมนี้ เขาจะได้มีเกรดดีขึ้น และจะไม่ต้องรีไทร์ เหมือนที่พ่อกับแม่(แท้ๆ ) ของเขาเองเคยดูถูกเอาไว้ แต่เขาก็รับปากว่าจะมาติวกับฉันอย่างเสียไม่ได้ เรานัดกันวันพรุ่งนี้เที่ยง ฉันยังไม่แน่ใจว่าเขาจะมาหรือไม่

ฉันอยากจะบอกหลานว่า ยังมีอีกหลายคนรอบตัวเขาที่มีความรักให้แก่เขาอย่างจริงใจ เช่น ตัวฉันเอง ตาของเขา หรือยายของเขา หรือพ่อกับแม่เขา ก็คงรักเขาแน่นอน เพราะนั่น ต้องเป็นธรรมชาติอยู่แล้วที่พ่อแม่น่าจะรักลูก แต่ฉันว่าพวกเขาไม่รู้จักแสดงออกมากกว่า หลานชายของฉันจึงเป็นเช่นนี้ อย่างไรก็ดี ฉันก็รู้สึกดีใจ ที่หลานยังนึกถึงฉันเวลาที่เขาต้องการจะปรึกษาใครสักคน

เขาไม่คิดที่จะสู้เลยด้วยซ้ำ เพราะตั้งแต่ต้นเทอม เขามาบอกว่าเขาอยากจะดรอปและรอเอ็นและซิ่ว เขาคิดได้แค่นี้เองหรือ ทำไมไม่เขาคิดว่า ถ้าเขาพยายามอ่านหนังสือ พยายามเข้าเรียน ใส่ใจกับหน้าที่ของเขาในตอนนี้ซึ่งก็คือเรียนหนังสือให้จบ สิ่งที่เขาคิดว่ายาก คงทำไม่ได้ ก็อาจจะกลายเป็นสิ่งที่เขาจะประสบความสำเร็จในวันหนึ่ง
"ชีวิตเกิดมาเพื่อให้สู้ ไม่ได้ให้ยอมแพ้" คำๆ นี้ฉันก็จำเป็นจะต้องใช้มันด้วยเช่นกัน

ไม่มีความคิดเห็น: