วันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ข้อแนะนำในการดำเนินชีวิต


มีเรื่องดีๆ จากอีเมล์มาเล่าสู่กันฟัง

ข้อแนะนำในการดำเนินชีวิต

1. ระลึกเสมอว่า การจะได้พบความรักและความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ก็ต้องประสบกับความเสี่ยงอันมหาศาลดุจกัน

2. เมื่อคุณแพ้ อย่าลืมเก็บไว้เป็นบทเรียน

3. จงปฏิบัติตาม 3Rs

3.1 เคารพตนเอง (Respect for self)

3.2 เคารพผู้อื่น (Respect for others)

3.3 รับผิดชอบต่อการกระทำของตน (Responsibility for all your actions)

4. จงจำไว้ว่า การที่ไม่ทำตามใจปรารถนาของตนบางครั้งก็ให้โชคอย่างน่ามหัศจรรย์

5. จงเรียนรู้กฎ เพื่อจะทราบวิธีการฝ่าฝืนอย่างเหมาะสม

6. จงอย่าปล่อยให้การทะเลาะเบาะแว้งด้วยเรื่องเพียงเล็กน้อย มาทำลายมิตรภาพอันยิ่งใหญ่ของคุณ

7. เมื่อคุณรู้ว่าทำผิด จงอย่ารอช้าที่จะแก้ไข

8. จงใช้เวลาในการอยู่ลำพังผู้เดียวในแต่ละวัน

9. จงอ้าแขนรับการเปลี่ยนแปลง แต่อย่าปล่อยให้คุณค่าของคุณหลุดลอยจากไป

10. จงระลึกไว้ว่า บางครั้งความเงียบก็เป็นคำตอบที่ดีที่สุด

11. จงดำเนินชีวิตด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อที่ว่าเมื่อคุณสูงวัยขึ้นและคิดหวนกลับมาคุณจะสามารถมีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำลงไปได้อีกครั้ง

12. บรรยากาศอันอบอุ่นในครอบครัวเป็นพื้นฐานสำคัญของชีวิต

13. เมื่อเกิดขัดใจกับคนที่คุณรัก ให้หยุดไว้แค่เรื่องปัจจุบัน อย่าขุดคุ้ยเรื่องในอดีต

14. จงแบ่งปันความรู้ เพื่อเป็นหนทางก้าวสู่ความเป็นอมตะ

15. จงสุภาพกับโลกใบนี้

16. จงหาโอกาสท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ ที่คุณไม่เคยไป อย่างน้อยก็ปีละครั้ง

17. จำไว้ว่า ความสัมพันธ์ที่ดีที่สุด คือความรักมิใช่ความใคร่

18. จงตัดสินความสำเร็จของตนด้วยสิ่งที่ต้องเสียสละ

19. จงเข้าใกล้ความรักด้วยการปล่อยวาง

วันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

แล้ววันหนึ่ง แม่ก็ทิ้งฉันไป




พอถึงเวลา แม่ก็ไป


เราไม่ทันได้ร่ำลากัน ฉันยังไม่เคยบอกว่ารักแม่สักครั้ง


ตอนนี้ฉํนอยากบอกว่า ฉันรักแม่

ระวังนกถูกรถชน


ฉันขับรถผ่านหลายครั้ง เจ้านกตัวเล็กเหล่านี้ ไม่เคยล่วงรู้ว่า วันหนึ่ง มันจะถูกรถชนตายหรือไม่

ก็เปรียบเหมือนกับชีวิตคน บางครั้ง เราหลงระเริง ไปกับเรื่องที่เราคิดว่ามันไม่เป็นอะไรกับเรา มันไม่สามารถทำอะไรเราได้

แต่แล้ววันหนึ่ง รถชนนก โครม เหมือนที่ฉันเคยทำเช่นนั้นกับนก

หรือว่า กรรมนั้น จะกลับมาตามสนอง

วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ถ้าน้ำหนักไม่เท่ากัน ตาชั่งมันก็เอียง


บทเรียนบทใหม่

เมื่อใดจะหายซื่อ หายโง่

วันอังคารที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2551

เรื่องดีๆ จาก forward mail


ใครหลายคนชอบคิดไปไกล "ในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง... สิ่งที่ยังไม่เกิด" ความคิดนี่แหละ ที่จะบั่นทอนพละกำลังส่วนหนึ่งของความสุขที่ควรจะเกิด ควรจะมี ให้ลดน้อยลงไป บางขณะ เราน่าจะทำชีวิตให้ดีกว่านั้น ได้ง่ายๆ แต่ เพราะความคิด ความกังวล ทำให้สิ่งที่น่าจะง่าย กลายเป็นสิ่งยุ่งยาก ถ้าความคิดบางอย่าง ยิ่งคิด ยิ่งเศร้า ยิ่งทำให้กังวล ยิ่งไม่มีความสุข ยิ่งหวาดกลัววันข้างหน้า ก็อย่าไปคิดมันเลย แค่ทำวันนี้ให้มีความสุข ทำให้ดีที่สุดกับเวลานี้ ที่มีโอกาสนี้........ บางที ใครจะรู้ว่า อะไรๆ ที่ไปกังวลนั้น อาจจะมาไม่ถึงก็ได้......... ชีวิตอาจไม่ยาวนานถึงขนาดนั้น ไม่มีใครรู้ว่าพรุ่งนี้ จะตื่นขึ้นมาหรือเปล่า อย่ากังวลกับอะไรที่ยังมาไม่ถึง....... มองวันนี้ และทำวันนี้ มีความสุขกับทุกวินาทีนี้ ..... ที่ยังหายใจอยู่ดีกว่า เวลามีพอเสมอ สำหรับความสุข ความทุกข์สร้างสิ่งมหัศจรรย์ ชีวิตที่พบความทุกข์ เป็นชีวิตที่แท้จริง... ไม่มีความทุกข์ ก็ไม่มีการเติบโต ความทุกข์เป็นพลังขับเคลื่อนให้หลายอย่างเกิด ไม่มีใครไม่มีความทุกข์ เพราะนั่นคือ การเป็นชีวิต ความทุกข์สอนให้แต่ละคนเข้มแข็ง ในแง่มุมต่างๆ ถ้าความทุกข์ไม่เข้ามาหา ก็จะไม่รู้ว่า ความสุขที่แท้เป็นอย่างไร ไม่มีความทุกข์ ก็ไม่รู้จักความสุข...... เพราะความทุกข์พิสูจน์ความเป็นคน อ่อนแอหรือเข้มแข็ง ความทุกข์เป็นสิ่งท้าทายความสามารถ..... เมื่อใด ที่มีความทุกข์ ควรยิ้มรับ และคิดว่าโชคดีที่ได้เจอความทุกข์ ได้เรียนรู้การแก้ปัญหา ได้สงบ ได้สติ ได้ความนิ่ง ได้รู้จักโลก รู้จักตัวเอง รู้จักการเติบโตทุกๆ ก้าว ให้กำลังใจตัวเองมากๆ บอกตัวเองว่า โชคดีที่วันนี้มีความทุกข์ เพราะเมื่อผ่านความทุกข์ ความสุขก็จะรออยู่เบื้องหน้า... จงใช้ความทุกข์สร้างสิ่งมหัศจรรย์ให้กับชีวิต

วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2551

กลอนคมจับจิต


พอเร็วก็หาว่าล้ำหน้า พอช้าก็หาว่าอืดอาด
พอโง่ก็ถูกตวาด แต่พอฉลาดกลับถูกระแวง
พอทำก่อนบอกไม่ได้สั่ง ทำทีหลังว่าไม่รู้จักคิด
อนิจจา ... คนดีดี ถูกถีบไปอย่าใกล้ชิด
คนคดคิดกลับเอาไว้ใกล้ตัว
มองดูมิตรเป็นศัตรู
มองคนรู้เป็นตัวสู่ปัญหา
คนดีดี .. เลยหนีเข้าสู่ป่า
คนที่เป็นสง่าก็เลย มีแต่ .... พวกโจร
-----------------------
ที่ใดมีอำนาจ ... ที่นั่นมีกลฉ้อฉล
ที่ใดมีอำนาจเหลือล้น ... กลฉ้อฉลย่อมมีมากเหลือประมาณ

วันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ผักกาดจอ


ฉันนึกจะเขียนเรื่องนานแล้ว ตั้งแต่หลังจากแม่เสียใหม่ๆ แต่รอรวบรวมพลังใจทั้งหมดที่จะมาเล่าผักกาดจอของแม่ให้ฟัง แม่ชอบกินผักกาดจอมาก แกงของแม่อร่อยไม่เหมือนใคร เป็นรสชาติที่คุ้นมาตั้งแต่เด็ก แม่มักจะซื้อผักกาดจอกับแม่ค้าแปม แปม ที่ขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาขายถึงในบ้าน แล้วก็บีบแตรเสียงดังแปม แปม จนกลายเป็นฉายา ว่า แม่ค้าแปมแปม

หนึ่งวันหลังจากแม่จากฉันไป ฉันเก็บข้าวของๆ แม่ใส่กล่อง จากนั้น ฉันเปิดตู้เย็นเพื่อจะทำความสะอาด ฉันมองเห็นขนมจีนน้ำยา ที่น้าเอามาให้เมื่อวาน แม่บอกว่า น้าเอามาให้ แต่แม่ไม่ทานเพราะกลัวจะท้องเสีย จึงเก็บไว้ให้ฉันทาน ไม่น่าเชื่อว่า พอฉันเปิดตู้เย็น เห็นสิ่งต่างๆ เหล่านี้ คำพูดของแม่ พรั่งพรูออกมาเข้าหูฉันเรื่อยๆ ฉันรับรู้ถึงความห่วงใยของแม่ คงเพราะแม่ห่วง กลัวว่าฉันจะหิว จึงเก็บขนมจีนไว้ให้

ยิ่งร้ายไปกว่านั้น ฉันยังมองเห็นผักกาดกวางตุ้ง หรือที่บ้านเราทางเหนือเรียกว่า ผักกาดจอ วางอยู่บนช่องใส่ผัก ฉันอดทนไม่ไหวต่อไปอีกแล้ว ผักกาดของแม่ยังสดอยู่ตู้เย็น รอแม่จะมาแกงในวันนี้ แต่เรื่องราวในชีวิตของคนเราช่างเปลี่ยนแปลงไปง่ายดาย เมื่อวานแม่ของฉันตั้งใจจะแกงผักกาดจอกินอยู่แท้ๆ แต่พอวันนี้ แม่ฉันกลับไม่มีโอกาสได้ทำเช่นนั้นแล้ว ฉันร้องไห้โฮเมื่อเห็นผักกาดจอในตู้เย็นนั่นเอง ฉันคิดถึงแม่ เราจากกัน โดยที่ยังไม่ได้ร่ำลากันแม้แต่น้อย และที่แย่ที่สุดคือ ฉันยังไม่เคยบอกรักแม่แม้สักครั้ง

ถึงฉันจะเป็นคนไม่ดีเท่าไหร่ ในสายตาของตัวเอง ก็พอจะยังปลอบใจตัวเองได้บ้างว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมา ฉันทำดีกับแม่ที่สุดแล้ว ฉันอยู่กับแม่ ไม่ทิ้งแม่ไปไหน ฉันมักจะหาของอร่อยๆ ให้แม่ทาน สิ่งที่ซื้อให้แม่ทาน ต้องเป็นสิ่งที่ดีที่สุดหรือแพงที่สุดให้แม่ ฉันว่าถึงจะเกิดอะไรขึ้น เราสองคนก็ยังมีเส้นใยแห่งความเป็นแม่ลูกเชื่อมโยงเราสองคนเอาไว้ ถึงเราผ่านเรื่องร้ายๆ ด้วยกันมามาก แต่ฉันก็รักผู้หญิงคนนี้อยู่ดี ผู้หญิงคนเดียวที่เป็นคนให้ชีวิตให้กำเนิดฉันขึ้นมาบนโลกในบนนี้ อย่างน้อยฉันก็ไม่เสียใจว่า ฉํนได้ทำดีที่สุดแล้ว

ทุกวันนี้ พอมองเห็นผักกาดกวางตุ้ง หรือผักกาดจอทีไร อดนึกถึงแม่พาณี ของฉันไม่ได้สักที ไม่มีคราวไหนเลยที่ฉันจะไม่นึกถึงแม่

คำคม


วันนี้ไปเจอคำคมของท่าน Sir Winston Churchill เชียวนะ เห็นแล้วโดนเจ้าค่ะ ท่านบอกว่า "We make a living by what we get, we make a life by what we give" คนเรา ใช้ชีวิตกับสิ่งที่เราได้มา แต่เราสร้างชีวิตได้ด้วยการให้"

วันพุธที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2551

หัวใจแช่มชื่น

ช่วงนี้จะเป็นกระแสวันแม่ และฉันเองก็หดหู่ไม่น้อย เมื่อไม่มีแม่อยู่ให้ฉันกราบอีกต่อไป แต่ถึงอย่างไร แม่ และพ่อ ก็ยังไม่ไปไหน พ่อกับแม่ มีชีวิตอยู่ในใจของน้องเสมอ
แม้จะเศร้าอยู่บ้างในช่วงวันแม่ แต่หัวใจก็ยังแช่มชื่น เหมือนต้นไม้เหี่ยวๆ โดนน้ำรดให้ชุ่มฉ่ำมาบ้าง

วันพุธที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2551

เสือน้อย หนูดี

คนซ้าย ชื่อเสือน้อย ทางขวา คือหนูดี ตอนนี้โตขึ้นมากเลย

วันอาทิตย์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ใกล้วันแม่

ตอนนี้คนสองคนที่อยู่บนฟ้าจะเป็นอย่างไรกันบ้างนะ คิดถึงกันบ้างไหมเอ่ย เมื่อไหร่จะมารับหนูเสียที

วันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

วาสนา



ได้รับเรื่องดีๆ จาก forwarded mail


วาสนา (ควรอ่านมาก)
" มีชายหญิงคู่หนึ่งรักกันมาก คบกันมา 3 ปี ทั้ง 2 ตกลงจะแต่งงานกัน เมื่อกำหนดวันเรียบร้อย ฝ่ายชายเองก็รอคอยวันที่จะแต่งงาน ต่อมาไม่นานฝ่ายชายรู้ข่าวว่า คู่รักของตนแต่งงานกับคนอื่นอย่างกะทันหัน โดยฝ่ายหญิงเองก็เต็มใจ ไม่ได้ถูกบังคับแต่อย่างใด เมื่อได้ทราบข่าว เขาทั้งงงและเสียใจมาก ร้องไห้ไม่กินไม่นอน ม่นานก็ป่วยหนักเพราะตรอมใจ
เวลาผ่านไป ฝ่ายชายป่วยหนักขึ้นเรื่อยๆไปหาหมอเท่าไหร่ก็ไม่ดีขึ้น ขณะที่นอนซมอยู่ที่บ้านนั้น มีหลวงตาแก่ๆผ่านมา เมื่อมาถึงหลวงตาหยุดอยู่ที่หน้าบ้าน แล้วมองเข้าไปในบ้านจึงเคาะประตู เด็กรับใช้ออกมาเปิดประตูพบว่า เป็นพระ จึงบอกว่า ไม่ทำบุญนิมนต์ข้างหน้า หลวงตายิ้มอย่างมีเมตตาแล้วพูดว่า อาตมาไม่ได้มาบิณฑบาต ในบ้านมีคนป่วยใช่มั๊ย อาตมาพอมีความรู้ทางด้านการแพทย์นิดหน่อย ไม่รู้จะพอช่วยได้รึปล่าว เด็กรับใช้ได้ฟังก็อึ้งแต่ก็บอกว่าตัดสินใจเองไม่ได้ ต้องขอไปถามเจ้านายก่อน เด็กรับใช้เดินเข้าไปในบ้านถามเจ้านาย เจ้านายตอบอย่างตัดรำคาญว่าอยากเข้ามา ก็เข้ามา!

เมื่อหลวงตาเข้าไปพบที่ห้องนอนพบว่า ชายคนดังกล่าวนอนอย่างหมดอาลัยตายอยากอยู่บนเตียง สีหน้าซีดเซียว ร่างกายซูบผอมประหนึ่งครึ่งคนครึ่งศพ
เด็กรับใช้นำน้ำมาถวายหลวงตา พร้อมจัดเก้าอี้ถวายข้างๆเตียงของชายคนนั้น หลวงตายิ้มแล้วพูดว่าอาการหนักเลยนะ ชายคนนั้น นิ่งเงียบไม่สนใจในสิ่งที่หลวงตาพูด หลวงตาตรวจอาการพอเป็นพิธี จึงกล่าวว่า โทรมมากเลยนะ ชายคนนั้นไม่สนใจ หลวงตาบอกว่าไม่เชื่อ ลองมองที่กระจกสิ ชายคนนั้นไม่สนใจ แต่ขณะที่หางตาชายไปที่กระจกแต่งตัวในห้องนอน เขามองเห็นภาพของคนที่รักอยู่ในนั้น ไม่นานภาพของคนรักก็ค่อยๆจางหายไป กลายเป็นภาพทิวทัศน์ชายทะเล
ที่ชายทะเลแห่งนั้นเงียบสงบ ไม่มีคนผ่านไปมา ขณะที่ชายคนที่ป่วยนั้น มองภาพในกระจกด้วยความสนใจนั้น เขาพบว่า มีศพหญิงสาวนอนเปลือยกายอยู่ที่ชายหาด เวลาผ่านไปสักครู่ มีชายคนหนึ่งเดินผ่านมา เขามองเห็นศพหญิงคนนั้นด้วยความรังเกียจ แล้วเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว ต่อมาพักใหญ่มีชายอีกคนหนึ่งเดินผ่านมา เขามองเห็นศพนั้น เขาสงสารจึงถอดเสื้อนอกออกมาคลุมร่างของหญิงคนนั้น แล้วเดินจากไป
พักใหญ่ๆอีกเช่นกัน มีชายอีกคนเดินผ่านมา เขาพบคนนอนมีผ้าคลุมอยู่ จึงเปิดออกดู เมื่อพบว่า เป็นศพ ด้วยใจสงสาร จึงจะฝังให้เรียบร้อย แต่ก็ไม่มีเครื่องมือจะขุด เขาจึงตัดสินใจใช้มือทั้ง 2 ข้างๆ ค่อยๆกอบทรายขึ้นมา เขาทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนเย็น พอได้หลุมใหญ่พอสมควร จึงได้ฝังศพผู้หญิงคนนั้นเรียบร้อยแล้วจากไป


จากนั้นภาพในกระจกก็เปลี่ยนเป็นภาพของศพหญิงคนนั้น และก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นภาพของหญิงคนรัก เขาได้เห็นก็ตกใจ พอสักพัก ก็ปรากฏเป็นภาพชายคนที่ 2
แล้วก็ค่อยๆจางหายไป เหลือแต่เงาของตัวเองในกระจก ทันใดนั้นหลวงตาพูดว่า ทีนี้เข้าใจรึยัง ศพนั้นคือคู่รักของโยม ชายคนที่ช่วยฝังศพเธอ ผูกวาสนากับเธอหนึ่งชาติ ชาตินี้เธอเลยแต่งงานกับเขา ส่วนโยมช่วยคลุมศพเธอ จึงผูกวาสนา 3 ปี ตอนนี้ครบ 3 ปี วาสนาสิ้นแล้วก็ต้องจากกัน
เมื่อชายคนนั้นฟังจบก็กระอักเลือดออกมา เด็กรับใช้ตกใจมาก หลวงตายิ้มแล้วบอกว่า โยมรอดแล้ว เมื่อกี้โยมกระอักเลือดเอาเลือดเสียออกมาแล้ว
ต่อมาไม่นานชายคนนั้นก็ได้ออกบวชในที่สุด
^_^ คนเราเจอกัน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ความสัมพันธ์ พ่อ , แม่ , พี่ , น้อง , ญาติ , เพื่อน , ศัตรู , คนรัก ฯลฯ ไม่ใช่ของเลื่อนลอย เมื่อมีวาสนา ไม่ต้องเรียกร้อง ถึงเวลาก็มาเจอกัน เมื่อสิ้นวาสนา ก็ต้องจากกัน รั้งยังไงก็ไม่อยู่ ในตอนที่ยังไม่จากกันนี้ คุณทำได้ทำดีต่อคนของคุณหรือยัง เพราะถึงเวลาที่ต้องจากกัน ไม่ว่าคุณจะมีเงินหรืออำนาจล้นฟ้า ก็เรียกมันกลับคืนมาไม่ได้ ทำดีต่อกันไว้ดีกว่า เพราะไม่มีใครรู้ว่า เราจะต้องจากกันเมื่อไหร่ ^_^

วันจันทร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

น้องแพนด้า








รับรูปน้องแพนด้าตัวเล็กน่ารักจากเมล์ เลยนำมาลงให้ดูกันเล่นค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2551

ฝัน


หากฝันเห็น ดาวเดือน ลอยเกลื่อนฟ้า..หากฝันว่า เอื้อมมือคว้า ดาวมาได้ลืมตาตื่น จงฝืนย่าง บนทางไกลมุมานะ สร้างฝันใฝ่ ให้เป็นจริง..

คำสอนท่านพุทธทาสภิกขุ


เขามีส่วน เลวบ้าง ช่างหัวเขา
จงเลือกเอา ส่วนที่ดี เขามีอยู่
เป็นประโยชน์ โลกบ้าง ยังน่าดู
ส่วนที่ชั่ว อย่าไปรู้ ของเขาเลย
จะหาคน มีดี โดยส่วนเดียว
อย่ามัวเที่ยว ค้นหา สหายเอ๋ย
เหมือนเที่ยวหา หนวดเต่า ตายเปล่าเอย
ฝึกให้เคย มองแต่ดี มีคุณจริงฯ
พุทธทาสภิกขุ

วันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2551

วิทยาทาน (2)



































































ตั้งแต่นี้ คงมีวิทยาทานออกมาเรื่อยๆ เพราะได้แปลงานอาทิตย์ละฉบับ นอกจากจะส่งให้เพื่อนๆร่วมรุ่น รปม.10 ได้อ่านแล้ว ก็ยังอยากทำบุญต่อ











งานชุดที่สอง เป็นบางส่วนจากหนังสือ Public Finance in Theory and Practice โดย Richard A. Musgrave และ Peggy B.Musgrave

วิทยาทาน









พอได้เป็นนักเรียน ก็ได้แปลงานอยู่ 2 ฉบับ งานแรกอาจารย์มอบหมายให้อ่านบางส่วนของหนังสือเรื่อง Handbook of Public Finance ปี 2004 เขียนโดย Jurgen G.Backhaus และ Richard E.Wagner บทที่ 1 Society , State , and Public Finance Setting The Analytical Stage







ผู้ใดสนใจ อ่านหาความรู้แก้เหงา หรือลับสมองกันได้ที่นี่

กลอนกวนๆ


เกิดเป็นคน ต้องทนให้เขาด่า
จะทำดี ทำบ้า เขาด่าหมด
ถ้าทำดี เขาก็ด่า ว่าไม่คด
ทำเลี้ยวลด เขาก็ด่า ว่าไม่ตรง

วันเสาร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2551

แม่วาง

หลังความเศร้าโศก น้องๆ ที่ทำงานชวนไปล่องแพที่อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ ก่อนนี้แม่วางเป็นตำบลหนึ่งของอ.สันป่าตอง แต่ตอนนี้ แยกออกมาเป็นอำเภอ มาดูรูปสวยๆ กันนะ



ร้านที่พวกเราไปนั่งทานอาหาร ต้องเดินลงไปลำธารด้านล่าง จะเจอเพิงให้นั่งทานอาหารริมน้ำ ถ่ายภาพฝรั่งนั่งแพ พวกเราก็นั่งแพแบบนี้ แต่ผจญภัยมากกว่าเพราะถ่อแพกันเอง หกคะเมนตีลังกา ตกแพนับครั้งไม่ถ้วน กลับมาเขียวไปทั้งตัว แต่ชอบค่ะ คุ้ม เสียดายที่ไม่ได้เก็บภาพระหว่างนั่งแพมา เพราะกล้องอาจพังได้ เพราะอยู่กับน้ำ และตกน้ำตลอด ต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งค่ะ ถ้าจะถ่ายรูปก็ไม่ได้นั่งแพ ถ้าจะนั่งแพ ก็อดถ่ายรูปนะ
รูปวิธีส่งอาหารจากร้านอาหาร เท่ห์มากๆ อาหารถูกส่งมาทางอากาศ ชักรอกส่งมาจากร้านข้างบน

ฝรั่งล่องแพ


รูปบรรยากาศเพิงนั่งทานอาหาร









วันจันทร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2551

พาแม่นวลไปทำหมัน




ช่วงนี้นวลน้อย พุงป่องมากๆ ป่องและแข็ง หรือนวลจะมีน้องอีกนะ ยุ่งละสิ เพราะตอนนี้ มีสมาชิกแมวเหมียวอยู่ที่บ้านตั้ง 4 ตัว คือ แม่นวล หนูดี เสือน้อย และแต้ม อีกทั้งยังมีคุณนายลักกี้ หมาแสนรู้หูหัก เป็นเพื่อนคู่ใจฉัน
เมื่อวานถึงคิวพาหนูดีไปตัดไหมที่ผ่าตัด หนูดีโลดโผนโจนทะยานสุดๆ จนผ้าพันแผลสีขาวที่คาดพุงหลุดออกมาเรียบร้อย มองเห็นแผลผ่าตัดพร้อมไหมที่ยังไม่ได้ตัด ให้เสียวหัวใจเล่นอย่างนั้น
หมอบอกว่า คลำๆ ท้องดู เกรงว่านวลจะมีน้องอีกครอก แต่ถ้าให้แน่ใจ ต้องพานวลไปเอกซเรย์
ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ส่องดูให้แน่ใจดีกว่าว่ามีน้องอยู่ในท้องของนวลหรือไม่ ก่อนจะทำหมันนวล
ผลเอกซเรย์ปรากฏว่า นวลยังไม่มีน้อง แต่น้องที่อยู่ในท้องของนวลคือ ขี้ เอ๊ย อึ หลายก้อน เรียงๆ กัน มองเหมือนกับไส้กรอกอีสาน...
และแล้ว นวลน้อย ก็เลยต้องมีอันขึ้นเขียงอีกครั้ง เย็นนี้จะไปรับนวลกลับบ้าน ขอให้นวลแข็งแรงและไม่เป็นอะไร เพราะถ้าเป็น พี่จะรู้สึกผิดมากๆ ที่พานวลไป แต่ไม่น่า เราต้องไม่คิดอะไรในแง่ลบสิ
พวกเด็กๆ คงคิดถึงแม่นวลกันน่าดู

วันศุกร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2551

หนูดีกลับบ้าน

หนูดีนอนพักฟื้น สงสัยปวดแผล
แม่นวลมาคอยดูลูก เป็นห่วงนะเนี่ย

แม่นวลกำลังจะเลียปลอบขวัญลูกน้อย ต้อนรับกลับบ้าน


วันนี้เวลาประมาณ 11 โมง หมอจากคลีนิคสัตวแพทย์ โทรมาบอกข่าวเรื่องหนูดีกับฉัน หัวใจแทบหล่นไปอยู่ตาตุ่ม เพราะใจเอาแต่จะคิดไปในแง่ร้ายจากประสบการณ์แย่ๆ ที่เคยมีกับมอม
เสียงหมอใจดีพูดมาตามสายว่า "หนูดีสบายดีแล้วนะคะ" ฉันถอนหายใจ โล่งอก
ก้อนเนื้อที่เจอที่พุงของหนูดี เป็นแค่ก้อนไขมัน หมอบอกว่า ยัดก้อนนี้กลับลงสู่ที่ของมันเรียบร้อยแล้ว ส่วนตับไตไส้พุง ยังอยู่ดี
หนูดีกลับบ้าน พร้อมพันผ้าพันแผลรอบตัวอีกครั้ง แม่นวลรีบมาต้อนรับลูก คงคิดว่า เมื่อคืนลูกไปอยู่ไหนมา แม่ตามหาทั้งคืน
มาวันนี้ได้อยู่ด้วยกันแล้วนะแม่ลูก




วันพฤหัสบดีที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2551

หนูดีเจ็บตัว (2)

เช้านี้หนูดีจะเข้ารับการผ่าตัด
ขอให้หนูดีแข็งแรง หายไวๆ
หลังจากหนูดีโดนลักกี้กับสมชายรุม หนูดีเป็นแผลลึกแต่ไม่รู้ว่า ข้างในของหนูดีจะกระทบกระเทือนด้วยหรือเปล่า เพราะสามสี่วันหลังจากถูกกัด ท้องหนูดีป่องขึ้นและก็คลำดูพบก้อนเนื้อใต้ผิวหนัง ท่าทางจะไม่ดี เพราะจะหยุดสงกรานต์หลายวัน ว่าแล้วก็เลยพาหนูดีไปให้คุณหมอใจดีดู
ผ่าดูดีกว่า จะได้รู้ว่าข้างในเป็นอะไร
หนูดีอาจงงๆ เพราะหนูดีเองก็ร่าเริง โลดโผนโจนทะยาน ลืมนึกไปว่า ที่พุงของตัวเองก็มีแผลอยู่ วันนี้เปิดแผล เลยมีเลือดออกมายิ้มให้เราเล็กน้อย แต่หมอบอกว่า เลือดที่ยิ้มให้เป็นสีแดง คงไม่น่าเป็นห่วง และอาการของหนูดีก็ร่าเริงดี
หวังว่าหนูดีคงปลอดภัย สู้ๆ นะหนูดี เย็นนี้เจอกัน

วันอังคารที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2551

My life will go on


มาถึงทุกวันนี้ ทุกคนเอาแต่สงสารฉัน ที่สูญเสียแม่และต้องเผชิญกับสภาวะการอยู่คนเดียวแบบไม่ทันตั้งตัว

ส่วนฉัน ก็สงสารตัวเองไม่น้อยที่ต้องมาประสบพบเจอกับสภาวะที่ว่า แต่จะทำอย่างไรได้ หรือชีวิตของฉันจะถูกลิขิตมาแบบนี้

เฝ้าบอกตัวเองว่า ต้องเข้มแข็ง ไม่งั้นแม่จะเป็นห่วง บางครั้ง นึกอยากจะนอนร้องไห้ แต่ก็เตือนตัวเองว่าถึงเวลาเป็นผู้ใหญ่เสียที คราวนี้ ฉันต้องประคับประคองชีวิตของตัวเองไปให้ตลอดรอดฝั่ง แต่ก็ไม่แคล้วจะตั้งคำถามกับตัวเองว่า แล้วชีวิตต่อไปจากนี้ จะอยู่ไปเพื่ออะไร เพื่อใคร

คำตอบที่พอจะนึกออก ก็คงอยู่ไปเพื่อหมาๆแมวๆ เพื่อนสี่ขาของฉันเหล่านี้ อยู่เพื่อเพื่อนๆ น้องๆ นิสัยดีที่พบเจอในที่ทำงาน

หรือคำตอบอาจเป็นเพียงเพราะ อยู่ไปเหอะ เพราะยังมีลมหายใจอยู่ เช่นนั้น ฤ

วันอาทิตย์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2551

ถึงคราวหนูดีเจ็บตัว


หนูดี เป็นแมวน้อยอายุ 4 เดือนเพศผู้ หนูดีเป็นแมวหน้าขาว ในตอนแรกที่หนูดีเกิด ฉันจึงคิดว่าหนูดีเป็นเพศหญิง เลยตั้งชื่อมันว่า หนูดี แต่จริงๆ แล้วหนูดี เป็นผู้ชาย เปลี่ยนชื่อไม่ทันแล้วเสียด้วยเพราะเรียกจนติดปากไปแล้วสิ
เมื่อวาน หนูดี โดนเจ้าสมชายกับลักกี้รุมไล่กัด หนูดีท่าทางจะเจ็บแผลน่าดู มานอนรอฉันอยู่ที่โรงรถ ราวกับว่าจะมาบอกฉันว่าอย่าเพิ่งไปเพราะมันเจ็บเจียนตายแบบนี้ ในวันที่ฉันเตรียมตัวไปนอนค้างบ้านเพื่อน เนืองจากฉันเองก็เจ็บแผลของตัวเองไม่แพ้กัน
ฉันเอง ซึ่งก็เตรียมพร้อมเก็บกระเป๋าข้าวของเตรียมไปค้างบ้านเพื่อนและบ้านป้าในวันหยุด ยกเลิกนัดครั้งนี้ และพาหนูดีไปทำแผล หนูดีเดินไม่ค่อยได้ในตอนแรก หมอเอกซเรย์ดูกระดูกพบว่ากระดูกหลังตรงช่วงก้นเคลื่อนเล็กน้อย ฉันใจเสีย ขาแขนของหนูดีก็ดูไม่ค่อยมีแรง โธ่เอ๊ย หนูดีผู้น่าสงสาร หนูดีจะเป็นอย่างไรต่อไปนะ
ราวกับว่าแม่ไม่อยากให้ฉันไปนอนค้างที่อื่นในช่วงเวลาแบบนี้ จึงดลบันดาลให้หนูดีต้องมีอันเจ็บไข้แบบนี้ ซึ่งวิธีนี้ ใช้ได้ผลกับฉันมากๆ ฉันยกโขยงเพื่อนๆ มานอนบ้านฉันแทน ทุกคนช่วยกันดูแลหนูดี
สองวันต่อมา หนูดีอาการดีขึ้นมากๆ อาการเดิน ที่คิดว่าน่าจะเดินไม่ได้ ก็ดีขึ้น หนูดีเดินแทบเป็นปกติ ตอนนี้หนูดีสำนึกในบุญคุณและดูรักฉันขึ้นมากกว่าเดิม

ฮวงจุ้ยที่นอน

อย่าทำตัวให้ว่าง เพราะจะคิดฟุ้งซ่าน เพราะฉะนั้น ทำเป็นยุ่งเข้าไว้หมู่นี้ วันนี้หยิบอีเมล์เกี่ยวกับฮวงจุ้ยที่นอนมาฝากผู้อ่านมิตรรักแฟนเพลง

ฮวงจุ้ยที่นอน....พิจารณาฮวงจุ้ยของตำแหน่งเตียงนอน

1.เตียงนอนใต้ไฟ ศีรษะมีไฟส่อง กระสับกระส่ายไม่สบายตัว
2.เตียงนอนอยู่ใต้คาน ทำให้ต้องรับภาระหนัก มีเรื่องให้แก้ปัญหาเสมอ
3.เตียงนอนมีเสาบังอยู่ทั้ง 2 ข้าง เหมือนถูกบีบจากเสามีแต่เรื่องเครียดอยู่ตลอดเวลา
4.เตียงนอนตรงประตูทางเข้าออก ป่วยออดๆ แอดๆ เสมอ
5.เตียงนอนตรงประตูห้องน้ำ ป่วยด้วยโรคช่องท้อง เช่น มดลูก ท่อปัสสาวะ ต่อมลูกหมาก อัมพาต
6.เตียงนอนวางลอยๆ กลางห้อง เหมือนเมรุเผาศพ คนเดินผ่านได้รอบข้างเป็นการจัดวาง ที่รับอันตรายได้รอบทิศทางถือว่าไม่เป็นมงคล
7.กระจกแผ่นใหญ่ส่องเตียงนอน ป่วยง่าย ทำให้ตกใจง่าย เหมือนถูกผีหลอกทั้งๆ ที่เป็นตัวเอง การป่วยจะเป็นการป่วยเรื้อรัง
8.วางเตียงนอนไว้ใต้บันได ถือว่ารับแต่ของสกปรก หรือ อัปมงคลไว้ตลอดเวลาเป็นลักษณะกดทับแก้ปัญหายาก
9.เตียงนอนใต้แอร์ส่วนหัวเตียง ศีรษะจะถูกกดทับ

ฉันต้องเข้มแข็ง เพื่อไม่ให้แม่ห่วง


แม่จากไปแล้ว โลกนี้ จะเป็นอย่างไรหนอ เป็นความคิดที่แว่บผ่านเข้ามาในหัวของฉัน ครั้งแล้วครั้งเล่า

ฉันคิดว่า มันคงขึ้นอยู่กับตัวเรา ว่าจะเดินบนโลกนี้คนเดียวอย่างไร

ตอนนี้ ขอเวลาปรับตัว ปรับใจ

ฉันจะทำทุกอย่างให้เป็นปกติ ดำเนินชีวิตที่เหลืออยู่ให้ดี ไม่ให้คนที่จากไปแล้วต้องเป็นห่วง

วันพฤหัสบดีที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2551

Goodbye My Mother

เช้าวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม 2551 แม่จากฉันไปอย่างสงบ คำถามหลายข้อ ยังคาอยู่ในหัวใจของฉัน เช่น
แม่เป็นอะไร แม่ไม่สบายตรงไหน
ทำไมฉันไม่ยอมเชื่อแม่และพาแม่ไปหาหมอ
ทำไมวันนั้น วันเสาร์ 6 วัน ก่อนแม่จะเสีย พาแม่ไปหาหมอ แต่ทำไม หมอไม่อยู่
แม่จะโกรธฉันหรือเปล่า ที่ฉันไม่ยอมเชื่อแม่และพาแม่ไปโรงพยาบาลตามที่แม่ขอ
ตอนนี้แม่อยู่ไหน และ
แม่จะรู้หรือเปล่าว่าฉันก็รักแม่ไม่น้อยไปกว่าใคร

ในวันฌาปนกิจแม่เมื่อ 31 มีนาคม 2551 ฉันมีโอกาสอ่านกลอนนี้ในงาน หวังว่ากลอนนี้ จะได้ยินถึงหูของแม่ที่อยู่บนฟ้าด้วย

"ในวันนี้ ลูกได้ดี เพราะแม่ช่วย
แม่กอร์ปด้วย ความดี ที่สั่งสม
ยามลูกดื้อ แม่ถือไม้ ใช้อบรม
ยามลูกตรม แม่ปลอบใจ หายทุกข์พลัน
ต่อแต่นี้ แม่จากไป ลูกใจหาย
ยามเจ็บไข้ จะได้ใคร ช่วยปลอบขวัญ
หาอาหาร หวานคาว ทุกสิ่งอัน
บุญคุณนั้น จำใส่ใจ ไม่ลืมเลือน"

ฉันเสียใจที่ยังไม่ได้ทำอะไรหลายๆ ให้แม่ หรือทำกับแม่ ถ้ารู้ว่าแม่จะได้อยู่ด้วยกันอีกไม่กี่วัน ฉันคงทำตัวให้ดีกว่านี้ ฉันจะอยู่กับแม่ พูดจาไพเราะเสนาะหู ไม่ทำให้ท่านขุ่นเคืองใจ แต่ตอนนี้ ฉันไม่มีโอกาสทำเช่นนั้นอีกแล้ว

วันพุธที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2551

จะจากเธอไกลเพื่อไปฮานอยและฮาลองเบย์


อีกวันเดียว ก็ถึงเวลาเดินทางอีกครั้งในชีวิต เป็นอีกโอกาสหนึ่งที่ฉันจะต้องจากบ้านไปไกล หวังว่าคราวนี้ แม่คงจะไม่เป็นอะไรไปอีก การเดินทางครั้งนี้ คงมีอะไรกลับมาเล่าให้ฟังอีกเยอะ แต่ขอโทษที คราวก่อนไปปายและหลวงพระบางมา ก็ยังไม่มีเวลาเขียนเลยเจ้าค่า แหะๆ แต่แปะไว้ก่อนแล้วกัน

วันอังคารที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2551

คำคม บาดเข้าไปถึงไส้ติ่ง



เมื่อรู้สึกรักใครสักคน ช้าหรือเร็ว ก็ต้องเอ่ยปากบอก
ไยไม่เริ่มเสียแต่วันนี้ ด้วยการทำสิ่งที่ดี ให้กับคนซึ่งเป็นที่รัก
เมื่อความทุกข์มาเยือน จงเผชิญหน้ายิ้มรับความทุกข์นั้น
เพราะเราจะไม่รู้ค่าของความสุข หากไม่มีความทุกข์ในชีวิต
เมื่อมีปัญหาผ่านเข้ามา จงต้อนรับมันด้วยความเงียบสงบ
เหมือนการนั่งเฉยๆ เมื่อไฟดับ เพราะเมื่อเวลาผ่านไป
เราจะมองเห็นสิ่งรอบตัว ได้ชัดเจนขึ้นทีละนิด ทีละนิด
เมื่อสองคน ตัดสินใจเดินทางไปด้วยกันแล้ว
ไม่ว่าจุดหมายจะอยู่ไกลแค่ไหน ….
สิ่งที่จะต้องใส่เป้สะพายหลังไปด้วย คือ การให้อภัย
ความสุขหาได้ง่ายๆ เพียงแต่เลิกกำหนดตัวเองว่า
อย่างนี้คือสุข อย่างนั้นคือสุข ความสุขเริ่มต้นเมื่อใจเป็นสุข
อบอุ่นจริงใจ ใช่จะหาได้จากทุกคน
หากมีเพียงสักคนหนึ่ง หากมีใครสักคนหนึ่ง ให้ความรู้สึกที่จริงใจยามที่ได้อยู่ใกล้
ก็น่าที่จะยกให้คนๆนั้นเป็นคนพิเศษ
คนพิเศษของฉันคือเธอ
โกรธเขาเราเร่าร้อนเหลือหลาย เขาอยู่สุขแสนสบายบ่รู้
เราเร่าร้อนเดียวดาย แดเดือด ขมขื่นนอนคุดคู้ ค่ำเช้าทรมาน

ฝันเหอะ ถ้าอยากจะฝัน


Dream what you want to dream
Go where you want to go
Be what you want to be
Because you have only one life
And one chance to do all the
Things you want to do

ใครหนอ


รูปพ่อสมัยยังเด็ก พ่อฉันอยู่ทางซ้ายของรูป พ่อยิ้มกว้างกว่าอาๆ ลุงๆ ทุกคน พ่อเป็นผู้ชายที่ประเสริฐสมชื่อ เมื่อไร่จะเจอผู้ชายที่ประเสริฐเหมือนพ่อสักที Y___Y

วันพฤหัสบดีที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2551

พรุ่งนี้เราจะพบกัน


วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่ลักกี้เข้ารับผ่าตัด ตอนเช้า พบว่าที่นอนลักกี้ มีเลือดแดงเต็มไปหมด แม่บอกว่าให้รีบพาลักกี้ไปหาหมอเร็ว ท่าทางจะไม่ค่อยดี เวลาลักกี้ต้องเจ็บป่วยแบบนี้ทีไร ฉันมักจะรู้สึกผิดเสมอที่ชอบไปเห่อน้องๆ ตัวใหม่ๆ แทนที่จะเล่นกับลักกี้เหมือนเดิม แต่ลักกี้ ก็คงเข้าใจ ฉันเป็นแบบนี้ เดี๋ยวฉันก็มาง้อลักกี้เอง ลักกี้คงคิดแบบนี้บ่อยๆ ลักกี้เป็นหมาเรียบร้อย ไม่ดุ บอกให้ทำอะไรก็ทำ คราวนี้ ถ้าพี่บอกว่าให้ลักกี้มีชีวิตอยู่ต่อไปนานๆ ลักกี้ก็ต้องทำแบบนั้นนะ เข้าใจ๋

ดังนั้น ในวันนี้ฉันจึงออกจากที่ทำงานก่อนเวลาเพราะต้องพาเจ้าเพื่อนยากตัวน้อยตัวนี้ไปพบคุณหมอ หมอวินิจฉัยว่าลักกี้มดลูกอักเสบ และต้องรับการผ่าตัดโดยด่วน ก่อนจะเข้ารับการผ่าตัด ลักกี้ถูกฉีดยาเพื่อให้ซึมและสลบ เราสองคนมองหน้ากันผ่านกระจกห้องผ่าตัด ลักกี้มองหน้าฉันตาละห้อย ฉันยังจำภาพนั้นได้ติดตา ถึงแม้ลักกี้จะง่วงเพราะฤทธิ์ของยา แต่ลักกี้ยังจ้องมองมาที่ฉัน เหมือนกับจะถามว่า พาน้องมาไว้ในห้องนี้ทำไม ทำไมไม่ได้ออกไปล่ะ ทำไมง่วงแบบนี้ล่ะ

ฉันเกิดอาการหลอนแบบนี้ทุกทีสิน่า เวลาเพื่อนรักหรือน้อง ๆของฉันต้องไปอยู่ในห้องผ่าตัด เหตุการณ์ของน้องมอม ฝังใจฉันอยู่ไม่น้อย ลักกี้ก็แก่มากแล้วเสียด้วย ไม่เอาน่า เอาคิดในแง่ลบ เอาแต่บอกคนอื่นว่าให้คิดในแง่บวก เราก็ต้องพยายามคิดในแง่บวกบ้างสินะ สู้ๆ นะ ทั้งลักกี้ และตัวพี่เอง พรุ่งนี้เราจะเจอกันนะลักกี้
ส๊าธุ ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายช่วยลักกี้ด้วยเถิด

วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

ขอโทษเจ้านกน้อย




เช้าวันนี้ ขับรถออกมาทำงาน มีนกตัวหนึ่ง ไม่ยอมหลบรถของฉัน ช่างน่าประหลาดใจเพราะทุกที นก หรือไก่ จะว่องไวมากเวลาอยู่บนท้องถนน แต่เจ้านกตัวนี้ เกิดอะไรขึ้นกับมันนะ ฉันคิดว่าฉันชนมันเข้าแล้วอย่างจัง ก็แหม ขนนกน้อยปลิวว่อนออกอย่างนั้น โธ่ เจ้านกน้อย ทำไมไม่หลบนะด้วยความรีบเร่ง จะต้องมาทำงานให้ทันเวลา ไม่ได้การล่ะ วันนี้ฉันยอมให้ชื่ออยู่ใต้เส้นแดง ฉันถอยรถกลับไปดูใจเจ้านกน้อย แต่ทว่า ร่างของมันหายไปเสียแล้ว หรือเจ้าจะไม่เป็นอะไรนะ แต่อย่างไรก็ดี ฉันก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ในวันนี้ เหมือนกับว่าได้ทำให้สิ่งมีชีวิตสิ่งหนึ่งต้องเจ็บปวด เจ้าจะตายหรือเปล่า อันนี้ฉันก็ไม่แน่ใจ แต่อย่างน้อย เจ้านกน้อยตัวนี้คงตกใจไม่น้อย ที่จู่ๆ ก็มีวัตถุเคลื่อนไหวได้ไว (แหะๆ) มากระแทกตัวมันอย่างจัง ฉันอยากให้ข้อความเหล่านี้ส่งไปถึงเจ้านกตัวนั้นว่าฉันขอโทษ หากเจ้าเจ็บ ก็หายไวๆ นะเจ้านก หรือหากเจ้าตาย (แต่ถ้าตาย ฉันต้องเห็นเจ้านอนอยู่ตรงนั้นนแล้วสิ) แล้วฉันจะทำบุญไปให้ อย่าเอาโทษโกรธกันเลยนะ

วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

"ปริญญาวิชาชีพกับปริญญาชีวิต"


วันนี้โค้ดเรื่องดีๆ มาเล่าสู่กันฟัง จาก forward mail จ้า


"ปริญญาวิชาชีพกับปริญญาชีวิต" อยากให้ทุกคนได้อ่านบทความดีๆ เสี้ยวหนึ่งจาก ท่าน ว.วชิรเมธี ที่เมืองไทยปีที่แล้วมีข่าวเกรียวกราวมาก คือมีดาราคนหนึ่งซึ่งมีชื่อดังมาก เป็นคนดำเนินรายการคนค้นคน
ดร.อภิวัฒน์ วัฒนางกูร นะ มาเรียนที่อเมริกา เป็นคนเพอร์เฟคชั่นนิส ทำงานทุกอย่างต้องดูดีที่สุดแม้กระทั่งล้างจาน ล้างเสร็จแล้วแกต้องเอามาดมดู ว่าสะอาดจริงมั้ย กลับไปเมืองไทยก็ไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย มีแฟนก็จีบดาวมหาวิทยาลัยเลย ต้องให้ดีที่สุด เวลาแกไปเสนองานอะไรต่าง ๆ เขียนไว้สามแผน แผนที่หนึ่งลูกค้าไม่ซื้อ แกเสนอแผนที่สอง แผนที่สองลูกค้าไม่ซื้อแกเสนอแผนที่สาม ใครไปดีลงานกับแกติดทุกราย แกมีบ้าน มีรถ มีลูก มีภรรยา มีธุรกิจ มีชื่อเสียงทุกอย่าง แกมีทุกอย่าง วันหนึ่งแกพักผ่อน หลังจากที่ทำงานแบบไม่ได้พักเลย ลุกเมียไปขอพบ บอกไปเจอพ่อที่ออฟฟิต วันหนึ่งแกไปพักที่ปากช่อง ตื่นขึ้นมากลางวันล้มฟุ๊บลงไป ภรรยาพาเข้าโรงบาล ตรวจพบมะเร็ง พอพบปุ๊บเป็นระยะสุดท้ายเลย จริง ๆ เค้าก็เตือนตลอด แต่พอไม่มีเวลาไปตรวจมันก็แก้ไม่ได้ แกไปนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล แล้วก็สารภาพให้รายการคนค้นคน บันทึกชีวิตแก ก่อนจะเสียชีวิต แกก็ไปนอนให้พ่อแม่เช็ดเนื้อเช็ดตัว แกก็บอกว่าสังเวชตัวเองมากแทนที่ลูกจะได้ดูแลพ่อแม่ กลับมาเป็นว่าพ่อแม่ต้องมาดูแลลูก ก่อนจะเสียชีวิตแกให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์คมชัดลึกบอกว่า พ่อผมเคยบอกว่า เกิดเป็นคนต้องได้ปริญญาสองใบ ปริญญาใบที่หนึ่ง "ปริญญาวิชาชีพ" เราจะต้องทำมาหากินเป็น กินอิ่ม นอนอุ่น พูดง่าย ๆ ล้วงไปในกระเป๋าแล้วมีเงินใช้ อยากจะนอนมีบ้านเป็นของตัวเอง แค่นี้คือปริญญาวิชาชีพ แต่"ปริญญาวิชาชีวิต" ซึ่งเป็นปริญญาใบที่สองที่พ่อแกบอกไว้แกบอกว่าผมสอบตกโดยสิ้นเชิง ผมเป็นดอกเตอร์จากอเมริกาได้ปริญญาวิชาชีพ แต่ปริญญาวิชาชีวิตสอบตกเพราะอะไร เพราะทำงานจนป่วยตาย ก่อนที่จะเสียชีวิตแกได้สารภาพว่าผมได้เตรียมทุกอย่าง บ้าน รถ มอบมันให้กับลูกและภรรยา แต่ในวันที่ผมมีทุกสิ่งทุกอย่าง ผมกลับลืมมอบหนึ่งอย่างให้กับลูกและภรรยา สิ่งนั้นคือสิ่งที่ผมลืมและทำให้ผมล้มเจ็บใหญ่ครั้งนี้ สิ่งที่ว่านี้คือผมลืมมอบตัวเองเป็นของขวัญให้กับลูกและเมีย เพราะทำงานหนักจนกระทั่งป่วยตาย นี่คือปริญญาวิชาชีวิต ธรรมะเราจะต้องมี ถ้าเราไม่มีธรรมะ เราจะกลายเป็นหุ่นยนต์เท่านั้นเองที่ทำงานแทบล้มประดาตายแล้วสุขภาพไม่ดีดังนั้นเมื่อเราทุกคนทำงานแล้ว อย่าลืมชั่วโมงสุขภาพของตัวเองในแต่ละวันนะ แต่ละวันควรจะมีให้ดูแลตัวเอง ดูจิต ดูใจตัวเอง ว่าเราเอ๊ะมันทุกข์มันทุกข์มากเกินไปรึเปล่า แบกเรื่องโน้นเรื่องนี้ เกินไปหรือเปล่าพยายามลดลงในแต่ละวัน ๆ เพื่อที่ว่าอะไร เพื่อที่ว่าเราจะได้ปริญญาสองใบในชีวิตหนึ่งปริญญาวิชาชีพเราทำมาหากินจนประสบความสำเร็จร่ำรวยมั่งคั่งมีเงินมีทองใช้มีบ้านอยู่ แต่ต้องไม่ลืมปริญญาใบที่สอง คือวิชาธรรมะ สำหรับจะดูแลชีวิตให้ดำเนินอยู่ในทางสายกลาง ไม่ทุกข์เกินไปไม่เดือนร้อนเกินไป ทำอะไรให้พอดี พอดีอยู่ดีมีสุขอยากเที่ยวให้ได้เที่ยว อยากพักให้ได้พัก อยากทำบุญให้ได้ทำบุญลูกหลานมาหาก็ให้ได้มีเวลากับลูกกับหลานบ้าง อย่าวิ่งไปจนซ้ายสุด ขวาสุด และมารู้สึกตัวอีกทำจนล้มเจ็บใหญ่ไม่ดีเพราะอะไร เพราะว่าสิ่งสูงค่าทีสุดในชีวิตของเรา เคยมีคนไปทูลถามพระพุทธเ้จ้า ว่าอะไรคือสิ่งสูงค่่าที่สุด บางคนก็ตอบเงิน บางคนก็ตอบเพชร บางคนก็ตอบทอง บางคนก็ตอบอำนาจ บางคนก็ตอบราชบัลลังก์ พระพุทธเจ้าบอกไม่ใช่ สิ่งสูงค่าที่สุดในชีวิตของพวกเธอคือสุขภาพและชีวิตสุขภาพก็คือการที่เราไม่เจ็บไข้ได้ป่วย คนที่สุขภาพดีดื่มน้ำธรรมดาก็อร่อยนะ

วันศุกร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2551

หนูดีแนะนำตัว


ดีฮะ ผมชื่อหนูดีฮะ จริงๆ แล้วผมเป็นผู้ชายฮะ ทำไมเรียกผมว่าหนูดีก็ไม่รู้สิ


หนูดี ฟังชื่อแล้วคล้ายๆ ผู้หญิงนะ แต่จริงๆ หนูดีเป็นผู้ชายจ้า หนูดีท่าทางจะเป็นพี่ชายคนโต ลูกของแม่นวลนะ น้องของหนูดีก็มี เสือน้อยและแต้ม แล้วพบกับสองคนนี้ในบทความต่อไปจ้า