วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ภาษาเมืองขำๆ

ได้รับฟอร์เวิดส์เมล์ขำๆ ดังนี้
"ต้องยกนิ้ว ฮื้อ คนกึ๊ด ละก่อชมว่าหลวก หยั่งว่อก แปล ว่าฉลาดหลักแหลม

เกี่ยวกับสี
ดำคึลึ = คนอ้วนล่ำผิวดำ
ดำคุมมุม = ดำสลัวอยู่ในความมืด
ดำขิกติ้ก = ดำซุปเปอร์
ดำคิมมิม = คนผอมกระหร่องผิวดำ
ดำผึดำผึด = ดำมากๆทั่วๆไป
แดงเผ้อเหล้อ = แดงเป็นจุดใหญ่จุดเดียว
แดงปะหลึ้ง = แดงจัดมาก
แดงปะหลิ้ง = แดงอมชมพูแดงเป็นจุดเล็กๆ
เหลืองเอิ่มเสิ่ม = เหลืองอมส้ม
เขียวอุ้มฮุ่ม = เขียวแก่
มอยอ้อดฮ้อด = สีน้ำตาลหม่น
ขาวโจ๊ะโฟ้ะ = ขาวมากๆ
เปิดเจ้อะเห้อะ = สีขาวซีด
เส้าแก๊ก = สีหม่นหมองมาก
ลายขุ่ยหยุ่ย = ลายพร้อย หรือลายเป็นดอกดวง
ใสอ้อดหล้อด = สดใสแบบอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ
ใส่ยงยง = สว่างจ้า

เกี่ยวกับแสง-เสียง
มืดแถ้ก = มืดสนิท
มืดสะลุ้ม = มืดสลัวๆ
มืดซุ้มซิ้ม = มืดนิดๆ
แจ้งฮุมหุฮุมหู่ = สว่างลางๆเลือนๆ
แจ้งลึ้ง = สว่างโร่เห็นได้ชัด
ดั้กปิ้ง = เงียบกริบ
ดั้กปิ้งเย็นวอย = เงียบเชียบ
ดั้กแส้ป = ไม่ได้ข่าวคราว
ดั้กก๊กงก = นั่งนิ่ง

เกี่ยวกับกลิ่น-รส
เหม็นโอ่ = เหม็นเน่า
จ๋างแจ้ดแผ้ด = จืดชืด
ขมแก๊ก = ขมมาก
ส้มโจ๊ะโล๊ะ = รสเปรี้ยวมาก

เกี่ยวกับรูปร่าง-ลักษณะ
แหลวแหล้ะแหลวแล่น = แหลกไม่มีชิ้นดี
แหลวแฝ้ะแหลวแฟ่น = แหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
เปิดโต้โหล้ = เปิดโล่ง
แน่นแท้ก = หนาแน่น แข็งแรง
บางแต๊บแย้บ = บางเบามาก
ซื่อแซ้ด = ตรงเหมือนไม้บรรทัด
แข็งเกิ้กเดิ้ก = ลักษณะแข็งทื่อ
แข็งกึ่งดึ่ง = แข็งทื่อเหมือนศพ
สูงใบ้สูงง่าว = สูงมากจริงๆ
ต่ำแม้ดแก้ด = ลักษณะคนเตี้ยแกร็น
ต่ำป้อกหล้อก = เตี้ยหม้อต้อ
สั้นกิ้มดิ้ม = สั้นจุ๊ดจู่
ยาวโจ๊ะโละ = หน้ายาว
มนแกว๊ด = กลมดิก
ป้อมป้อกหล้อก = เตี้ยกลมเล็ก
ผอมแก้งแด้ง = ผอมขี้ก้างผอมแห้ง
หม้ดผี้หลี้ = สวยสดใส
งอก๊อกหง้อก = เปรียบเทียบกับคนหน้างอ
งอก่องด่อง = นอนขดตัว
ตอกบ๊ะบ๊ะ = ตอกหลายๆที
ฮูโจ้โหว้ = รูเบ้อเริ่ม
ฮูโจ้ดโหวด = รูใหญ่เห้นชัดเจน
ก๋วงโจ้โหว้ = รูกลวงใหญ่ลอดง่าย
อ้าก้าบงาบ = อ้ากว้าง
งามผี้หลี้ = คนที่เริ่มเป็นสาวและมีหน้าตาสวย
งามแต๊งามว่า = สวยจริงๆ
เก่าโคะโละ = เก่ามาก
เนียนแน้ก = รวดเร็ว
บานเผ้อเหล้อ = เบ่งบานเต็มที่
ก๊ดโก้งโหง้ง = ไม่ตรง
ก๊ดหง้อกก๊ดแหง้ก = คดไปคดมา
ยานเติบเต๋ย = ยืดยาด
ปุ๊สุ่นบุ่น = ผมฟูฟ่อง
เค่งติ้งติ้ง = การแน่น คัดเต้านม หรือ รัดตึง
สาวจิ๊ดริด = เริ่มโตเป็นสาว แม่สาวน้อย
ขำก๊ะงะ = ค้างคาอยู่
กว้างโล่งโก๊ะโล่งโก๋น = เปรียบเทียบความกว้างจนทะลุปรุโปร่ง

วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ไปอ่านเว๊บบอร์ดใน http://larndham.net/index.php?showtopic=37005
เป็นกระทู้ที่ดีมากๆ ผู้เขียนในนั้นที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน มีประโยคหนึ่ง ที่โดนมากๆ ในเรื่องของการมีจิตใจใฝ่ธรรมะที่ตัวเราเองก็ใกล้เคียง

"แต่สำหรับดิฉัน ไม่ใช่ค่ะ....การใช้ธรรมะ รักษาใจ นั่นคือ คุณสามารถใช้ชีวิตทางโลกของคุณไปตามปกตินั่นแหละ....มีหน้าที่อะไรต้องรับผิดชอบ ต้องทำ คุณก็ทำไปคุณยังอยากสวย อยากงาม อยากสนุก อยากเป็นตัวของตัวเอง คุณก็ทำไป ไม่ได้มีข้อห้ามใดใด เพียงแค่คุณตั้งจิตอธิษฐาน ในการเริ่มต้นชีวิตใหม่ อยู่กับปัจจุบัน ด้วยการ คิดดี ทำดี มีสัมมาวาจา ไม่เบียดเบียนผู้อื่นให้เกิดทุกข์ และการให้อภัย....ทั้งหมดก็คือส่วนหนึ่งของการอยู่ในศีลธรรม ดั่งคำสอนของพระพุทธเจ้านั่นแหละ"

ขอขอบคุณผู้เขียนกระทู้นี้ ที่ได้ให้ข้อคิดดีๆ ในการเริ่มต้นชีวิตใหม่

บทความดีมากๆ

ไปเจอเว๊บไซต์ที่เป็นหนังสือชื่อ คิดจากความว่าง ที่ http://dungtrin.com/empty2/02.htm
อ่านแล้วใช่เลย รักษาโรคทางจิตที่เกิดจากความรักได้ดีเยี่ยม (แต่ก็ยังไม่หายนะ) จึงขออนุญาตผู้เขียน นำมาลงไว้ในบล็อกของข้าพเจ้าดังนี้

"อาการทางจิตของคนมีรัก"

อาการทางกายใดบ้างเป็นสัญญาณว่ากำลังมีรัก? คำถามแบบนี้อาจชวนให้คุณสังเกตพฤติกรรมภายนอกของคนอื่น เช่นเห็นเขานั่งเหม่อลอยแม้ในเวลาสมควรตั้งใจมีสมาธิฟังครูสอนหรือฟังนายสั่ง
แต่เมื่อถามเจาะจงลงไปว่าเป็น ‘อาการทางจิต’ แบบไหนบ้าง เป็นสัญญาณว่ากำลังมีรัก? อย่างนี้มีสิทธิ์ชวนให้นึกถึงความรู้สึกนึกคิดของตัวเองได้มากขึ้น เพราะคุณไม่รู้วาระจิตผู้อื่น จึงไม่อาจทราบว่าโลกภายในของแต่ละคนที่มีรักเป็นอย่างไร ในขณะที่สำรวจเข้ามาทราบภาวะจิตใจและอารมณ์ของตนเองได้ง่ายกว่า
ตัวอย่างเช่นถ้าคุณถูกบังคับให้ตอบว่ารักใครสักคนไหม หากต้องชั่งใจเพื่อหาคำตอบที่แท้จริงเกินหนึ่งพริบตาเดียว แปลว่าดีกรีความรักที่คุณมีต่อคนๆหนึ่งยังต่ำอยู่ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ อาการทะยานทางจิตที่พุ่งเข้าไปยึดเหนี่ยวคนๆนั้นไม่แรงพอ หากแม้นว่าแรงพอแล้ว คุณจะตอบได้ชัดถ้อยชัดคำเหมือนเอาอีโต้ฟันโชะเข้าที่หูคนถามทันที ว่ารักหรือไม่รัก
หากอ่านจิตเป็น คุณจะพบความวิจิตรพิสดารของความรักได้หลากหลายเหลือเชื่อ บางความรักทำให้จิตของคุณพุ่งแน่วไปที่คนๆหนึ่งด้วยความโลภอยากครอบครองกายใจของเขาไว้ในมือคุณคนเดียว อาการเล็งละโมบโลภมาก อยากเอาทุกสิ่งทุกอย่างมาจากคนรัก ทั้งเวลา ทั้งของขวัญ ตลอดจนบริการรับใช้ครบวงจรจากเขา อาการทางจิตชนิดนี้มาพร้อมกับความพลุ่งพล่านร้อนรน รักแล้วกระวนกระวาย ทำความทรมานมากกว่าสบายใจ
อีกขั้วตรงข้ามของความรักข้างต้นจะทำให้คุณยอมโง่ ทุ่มกายถวายชีวิต ยอมเสียสละจนกลายเป็นอ่อนแอปวกเปียก เปิดโอกาสให้เขาใช้คุณเป็นไร่นาเพาะบาปเพาะเวร ปล่อยให้เขานิสัยเสียโดยไม่พยายามทำอะไรให้ดีขึ้น อาการทางจิตชนิดนี้มาพร้อมกับความมืดบอด ยิ่งรักยิ่งทึบหนัก อาศัยความสุขเล็กๆน้อยๆเป็นกำลังใจให้ยอมจำนนไปเรื่อย
แต่บางความรักก็ทำให้จิตของคุณสงบเย็นลึกซึ้ง ปราศจากอาการเกาะเกี่ยวกระหวัดเข้าหาตัว มีแต่กระแสความปรารถนาดีแผ่ออกไป สุขใจแค่มีใครคนหนึ่งเป็นที่ตั้งของความรู้สึกด้านสว่าง รักได้ทั้งที่เป็นอิสระต่อกันอย่างสิ้นเชิง
คุณเกิดมาต้องผ่านประสบการณ์ทางจิตขณะมีรักมาแล้วหลายรูปแบบ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบแล้วความรักทั้งหลายจะมีพื้นฐานคล้ายคลึงกันบางประการ คือมีแรงดึงดูดในด้านดี เสมือนระหว่างใจกับใจเป็นแม่เหล็กที่กระทำต่อกัน
ความรักฉันญาติมิตรทำให้จิตของคุณมีแรงดึงดูดอ่อนๆ ให้ความรู้สึกอบอุ่นเป็นกันเอง ส่วนความรักสีชมพูจะทำให้จิตของคุณเกิดแรงดึงดูดรุนแรง ให้ความรู้สึกวาบหวาม เหนี่ยวนำให้อยากแนบชิด แต่ขณะเดียวกันก็พร้อมจะผลักไสให้เป็นอื่นอยู่ในส่วนลึก ขอเพียงเกิดความแปรปรวนทางอารมณ์เพียงเล็กน้อยก็จะรู้สึกได้
พอโตมาคนเราจะอยากมีประสบการณ์ทางจิตแบบวาบหวามกันทั้งนั้น ความอยากดังกล่าวทำให้รู้สึกโหยหา จึงดูเหมือนธรรมชาติบังคับให้ทุกคนเกิดอุปาทานว่าตนเองเกิดมาแล้วต้องเสาะหารักแท้ให้เจอ
หากคุณเป็นนักล่าฝัน คุณสร้างความรักไว้ล่วงหน้า ชนิดที่ทำให้จิตเกิดอาการอ้อยอิ่ง เต็มไปด้วยภาพงดงามสูงส่งชวนหลงใหลทะยานอยาก ความรักล่วงหน้าของคุณอาจกลายเป็นปมปัญหาสำคัญ เมื่อพบว่าตัวตนที่มีเลือดเนื้อและกลิ่นเหงื่อไคลของผู้คนหาใช่อะไรที่หอมหวนดังฝันไม่
ในทางกลับกัน หากคุณฝันไม่เป็น เอาแต่เชื่อทฤษฎีประเภทมนุษย์แค่มีหน้าที่หลั่งน้ำกามใส่กัน จิตคุณย่อมมีอาการเย็นชา เพ่งเล็งแต่ในแง่ได้ประโยชน์เสียประโยชน์จากเพศตรงข้ามแปลกหน้า นั่นก็จะเป็นปมปัญหา เมื่อพบว่าจิตใจของใครๆและตัวคุณเองร้องหาความสุขอันละเอียดอ่อนยิ่งกว่าผลประโยชน์ทางเพศมากนัก
ความผิดหวังและความสัมพันธ์ที่แตกพังซ้ำๆอาจทำให้หลายคนชาด้านมากขึ้นเรื่อยๆกับรักแท้ คนส่วนใหญ่ในโลกเหลือความหวังแค่ค้นหาใครสักคนที่พอไปด้วยกันได้ เอามาแก้เหงา เอามาสร้างครอบครัว เอามามีเซ็กซ์
โดยธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนต้องการเสรีภาพ ไม่มีใครอยากเจอห่วงล่ามคอ ไม่มีใครอยากโดนผูกมัด แต่ขณะเดียวกันก็อยากกะเกณฑ์ให้คู่ของตนซื่อสัตย์ รายงานความเคลื่อนไหวทุกฝีก้าว พูดง่ายๆคืออยากเป็นนาย ไม่อยากเป็นทาส และหนทางง่ายที่สุดที่คนเราจะได้ทาส ก็คือใช้อำนาจความรักและความเป็นกันเองแบบผัวเมียลากจูงมา
ความเคยชินและภาระหน้าที่ของการครองคู่จะทำให้อาการทางจิตซึ่งมีต่อกันแปรไปทีละน้อย แรงดึงดูดจะลดลง หรือกระทั่งคลายออกอย่างสิ้นเชิง เหลือไว้แต่สายใยผูกพันในฐานะคนข้างเคียง
ทุกคนแสวงหาความรักอันหวานชื่นโดยไม่ทราบอย่างแท้จริงว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วจะรักษาไว้ได้ด้วยท่าไหน รู้แต่ว่าต้องหาให้ได้ รู้แต่ว่าต้องมีให้ได้
การจะมองให้เห็นหน้าตาความรัก บางทีอาจต้องอาศัยการเปรียบเทียบกับอาการทางจิตแบบอื่นๆ เช่น
๑) ตรงข้ามกับคำว่ารักคือเกลียด เพราะความเกลียดทำให้อาการทางจิตเป็นไปในทางผลักไส เมื่อผลักไม่พ้นตัวก็คาอยู่ อึดอัดอยู่
๒) ใกล้กับคำว่ารักคือนิยม เพราะความนิยมปรุงแต่งให้จิตเกิดความสดใส คุณอาจรู้สึกถึงแรงดึงดูด แต่ก็ไม่ถึงขนาดวาบหวาม
๓) เสมอกับคำว่ารักคือชมชอบ เพราะความชมชอบมักแฝงอยู่ด้วยพลังพิศวาส หากมีปัจจัยแวดล้อมเร่งพลังพิศวาสได้มากพอ คุณก็ทำได้ทุกอย่างเพื่อเอาเขาหรือเธอมาอยู่ในชีวิตคุณ
๔) เหนือกว่าคำว่ารักคือเมตตา เพราะความเมตตาไม่ได้ต้องการสิ่งแลกเปลี่ยน เหมือนอาการทางใจของคนรดน้ำต้นไม้ ย่อมได้ความฉ่ำชื่นตอบแทนกลับมาในขณะนั้นๆอยู่แล้วโดยตัวเอง
ข้อสุดท้ายนี่แหละคือบทสรุปแห่งวิธีรักษาความรักไว้ให้ยั่งยืน เพราะเมตตาตัวเดียวจะทำงานครอบจักรวาล คือตัดรอนอาการเกลียด ลดความหวังในเชิงวาบหวาม และแทนที่เงามืดของความเห็นแก่ตัวลงได้
หากเมตตาของคุณมีชีวิตยืนยาวพอจะเบื่อความโกรธ เห็นว่าไม่รู้จะโกรธไปทำไม แม้คนเลวที่น่าระคายอย่างที่สุด ก็ไม่ควรค่าพอจะเก็บไว้เป็นทุกข์ทางใจเลย คนบัดซบที่สุดนั่นแหละ ที่คุณควรทิ้งไปจากใจก่อนเพื่อน และเปิดโอกาสให้เขารบกวนจิตใจคุณน้อยกว่าใครเพื่อน
เมตตาจัดเป็นธรรมใกล้พ้นโลก ยกตัวอย่างเช่นความรู้สึกแบบโลกๆจะทำให้คุณอยากเอาชนะ ขณะอยากเอาชนะจะไม่มีเมตตา เมื่อคุณเลือกที่จะอยู่ข้างเมตตาย่อมไม่อยากเอาชนะ ลงเอยคือเท้าของคุณย่อมใกล้ข้ามเส้นแห่งความทุกข์และภัยเวรในโลกไปได้
เมื่อเมตตาเป็น วันหนึ่งคุณอาจขยับขึ้นไปเข้าถึงสัจธรรมที่ว่าความไม่มีตัวตนให้เห็นแก่ตัวเลยนั่นแหละ เป็นอันเดียวกับการเข้าถึงความรักขั้นสูงสุด
ก้าวแรกของเมตตา อาจมาจากการคิดถึงความจริงง่ายๆเช่น ‘ให้จริงแล้วใจเบา’ สังเกตความจริงผ่านการกระทำจริงเรื่อยๆ กระทั่งวันหนึ่งใจคุณมีแต่เบาแบบไม่กลับหนักด้วยฤทธิ์ความเอาแต่ได้เลย นั่นแหละครับคุณยืนอยู่ข้างชนกลุ่มน้อยที่เต็มไปด้วยอาการทางจิตอันเป็นสุขแล้ว

รูปถ่ายในวันที่เหงาหงอย
























































ถ่ายไปงั้น ประชดชีวิต มุมกล้องช่วยได้มาก